ซึ่งผู้ที่มีหน้าที่จะต้องเสียภาษีประเภทนี้ได้แก่
- ผู้ผลิตหรือผู้ประกอบอุตสาหกรรม
- ผู้ประกอบกิจการสถานบริการ
- ผู้นำเข้าสินค้า
- บุคคลอื่นตามที่กฎหมายกำหนด เช่น เจ้าของคลังสินค้าทัณฑ์บน / ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการซึ่งตั้งขึ้นใหม่โดยการควบเข้ากัน หรือผู้ประกอบอุตสาหกรรม หรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการที่รับโอนกับผู้ประกอบอุตสาหกรรมเดิม / ผู้ได้รับสิทธิ์ยกเว้นหรือลดอัตราภาษีสินค้านำเข้า / ผู้โอนและผู้รับโอนที่ได้รับเอกสิทธิ / ผู้โอนหรือผู้รับโอนสินค้านำเข้าที่ได้รับยกเว้น หรือลดอัตราภาษี / ผู้จัดการมรดก หรือทายาทผู้ได้รับมรดกสินค้านำเข้าที่รับการยกเว้นหรือลดอัตราภาษี / ผู้จัดการมรดก ทายาท หรือผู้ครอบครองทรัพย์มรดก ผู้อนุบาล หรือผู้พิทักษ์ / ผู้ชำระบัญชี และกรรมการผู้อำนวยการ หรือผู้จัดการ ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันเลิกกิจการ ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรม หรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการเป็นนิติบุคคลและเลิกกิจการโดยมีการชำระบัญชี / ผู้ดัดแปลงรถยนต์ เป็นต้น
ซึ่งการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตในประเทศไทยจะคิดคำนวนฐานภาษีตามปริมาณ หรือตามมูลค่า หรือทั้งตามปริมาณและตามมูลค่า แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทและชนิดของสินค้านั้นๆ
ซึ่งการคำนวนฐานภาษีตามปริมาคิดโดย ภาษีสรรพสามิต = ปริมาณสินค้า * อัตราภาษีสรรพสามิต
ส่วนการคำนวนฐานภาษีตามมูลค่านั้นสามารถแยกพิจารณาได้หลายกรณี อาทิเช่น กรณีสินค้านำเข้าอาศัยฐานในการคำนวนภาษีซึ่งคำนวนได้จากราคา CIFของสินค้าอากร ดังนี้ ภาษีสรรพสามิต = ราคาCIFของสินค้า+อากร
ดังนั้นกรมสรรพสามิตจะทำการเรียกเก็บภาษีจากผู้ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าประเภทที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ส่งผลเสียต่อศีลธรรม สินค้าฟุ่มเฟือย สินค้าที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น แต่ในบางกรณีอาจมีการให้สิทธิประโยชน์โดยการยกเว้น หรือการลดหย่อนภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าและบริการบางประเภท
อ้างอิง
http://www.sobsuan.com/modules.php?name ... pic&t=9779
https://news.thaipbs.or.th/content/266139
https://chonburi2.wordpress.com/