ความหมายของ ORM และ Doctrine
ORM ย่อมาจาก Object / Relational Mapping หมายถึง การ map ข้อมูลในตารางข้อมูลของฐานข้อมูลให้อยู่ในรูปของ object-oriented language ซึงจะเป็นการสร้าง Database แบบเสมือนขึ้นให้มาอยู่ในรูป language programming ทำให้ไม่ต้องไปยุ่งกับ SQL Statement ซึ่งถ้ามีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขต้องแก้ไขที่ตัวโปรแกรมแทน และการกระทำต่างๆยังคงเป็นแบบ Relational เหมือนเดิม เช่น มีตารางชื่อ product ก็จะแปลงมาเป็น class product คุณลักษณะ (attributes) ของตาราง product ก็จะถูแปลงมาเป็น object ใน class
เราไม่จำเป็นต้องยุ่งในส่วนของ SQL (SELECT, INSERT, UPDATE, DELETE) เลย แต่เราจะใช้ framework มาช่วยจัดการแปลงจากภาษาโปรแกรมมิ่งที่เราเขียน ไปเป็น SQL หรือ database ให้เราแทน
สำหรับ framework นั้นก็มีหลายตัวในปัจจุบัน Hibernate, NHibernate, LINQ, SubSonic, Entity Framework, Active Record, Enterprise Library, symfony
โดยแต่ละตัวนั้นก็จะมี API ซึ่งเป็นตัวกลางในการทำหน้าที่ในการแปลงข้อมูลระหว่างฐานข้อมูลและ object รวมถึงคำสั่งพื้นฐานของการจัดการข้อมูลไม่ว่าจะเป็นการ Select,Insert,Update,Delete
ในที่นี้จะพูดถึง Symfony ซึ่งมีตัว API ที่ติดมาด้วยชื่อว่า Doctrine ในการจัดการเกี่ยว ORM
ตัว Symfony นั้นมีการทำงาน แบบ MVC (Model–view–controller)
โดยในส่วนของ doctrine นั้นจะทำงานกับ Model ในการติดต่อกับ ฐานข้อมูล
เวลาที่เราต้องการจะสร้าง database table ขึ้นมา table นึง เราไม่จำเป็นต้องเขียน SQL เพื่อ create table ขึ้นมาเลย เราแค่เขียน class ขึ้นมา ซึ่ง class นี้จะถูกเรียกว่า Entity Class จากนั้นก็กำหนด attribute ต่างๆ ตามที่ต้องการลงไป attribute นี้เราอาจจะมองว่ามันคือ column ของ table ก็ได้ ทีนี้ framework มันก็จะเอา entity class ที่เราเขียนไว้ไปแปลงเป็น table ให้เราเองครับ
การ map relation ต่างๆ เช่น One to One, One to Many หรือ Many to Many เราอยากได้แบบไหน เราก็เขียนลงไปใน entity class นั้น framework มันก็จะเอาไป map ให้เราเอง มันจะสร้าง foreign key, primary key ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ต่างๆ ของ table ให้เองโดยอัตโนมัติ
การอ่านค่าจาก table ขึ้นมาใช้ มันก็จะแปลงจากข้อมูลที่อยู่ในรูปของ row ไปเป็น object ของ row นั้นให้ ซึ่งไม่เหมือนกับการเขียน code แบบเดิมๆ ที่ต้องเขียน code เพื่ออ่านค่ามาจาก database และก็ค่อยจับค่าที่อ่านมาได้นั้นยัดเข้าไปใน object class เอง ซึ่งมันก็ค่อนข้างลำบากอยู่เหมือนกันครับ ถ้าระบบเราเป็นระบบที่ใหญ่มากๆ การดูแลรักษา หรือการแก้ไข code ก็จะเกิดความยุ่งยากขึ้นได้ เพราะ code ที่เราเขียนมันผูกกันไปมาเต็มไปหมด ยิ่งถ้าแก้attribute ใน table หรือเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของ table ที ก็ต้องมาตามแก้ Class ที่อ้างไปถึง table นั้นๆ อีก
พอเราหันมาใช้ ORM มันก็จะช่วยให้งานเราสบายขึ้นเยอะ เวลาแก้ attribute หรือความสัมพันธ์ใน Entity Class ตัว attribute หรือความสัมพันธ์ของ table ก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เราอาจจะมองว่า entity class กับ database table มันคือตัวเดียวกันก็ได้ครับ เพราะ framework มันจะจัดการทำ mapping ให้เรา..
Credit : http://na5cent.blogspot.com/